เทศน์พระ

คมปัญญา

๑๙ มิ.ย. ๒๕๕๕

 

คมปัญญา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรมนะ ฟังธรรมเพื่อเตือนสติ ฟังธรรมเพื่อประดับสติปัญญา สติปัญญาคืออะไร สติปัญญาคืออาวุธ อาวุธเพื่อจะฟาดฟันกับกิเลสของเราเองนะ ดูสิ เวลาเราอยู่ของเรา เห็นไหม สรรพสิ่งในรอบตัวเรานี้เป็นภาระไปหมด มีปัญหาไปหมด เราต้องบริหารจัดการนะ คนเราถ้าเข้มแข็งนะ การกินอยู่ การเคลื่อนไหว ในเมื่อยังแข็งแรงอยู่ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นเรื่องปกติ เราเห็นไม่มีคุณค่าของมันเลย

เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เห็นไหม ต้องป้อนข้าวป้อนน้ำ จะขับจะถ่ายก็ทำด้วยตัวเองไม่ได้ ลำบากลำบนไปหมด ถ้าถึงตอนนั้นจะเห็นคุณค่าของความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ จะเห็นคุณค่าของชีวิตเลยว่า เราสามารถทำเองได้ จะขับจะถ่าย เราก็เข้าไปขับถ่ายของเราเองได้ เวลาปวดขึ้นมาเราก็วิ่งไปหาได้

แต่ถ้าเราไปไม่ได้ล่ะ เวลาจะขับจะถ่ายขึ้นมาทุกข์ขนาดไหน นี่ถ้ามันทุกข์ขนาดไหน เราจะเห็นคุณค่าของความไม่มีโรค เห็นไหม แต่โรคชรา เวลามันชราภาพไปเราจะเห็นคุณค่าตอนนั้น ฉะนั้น ถ้ายังไม่ถึงขนาดนั้น เราทำสิ่งใดได้ เราจะขวนขวายของเรา เราขวนขวายเพื่อประโยชน์นะ ประโยชน์กับตัวของเราเอง ประสบการณ์ชีวิตนะ คนที่มีประสบการณ์ชีวิตมองเห็นสิ่งใดจะเข้าใจสิ่งนั้นได้

คนที่ไม่มีประสบการณ์ชีวิตนะ จะเป็นเหยื่อเขาไปตลอด จะเป็นเหยื่อนะ ไม่รู้สิ่งใดเลย เป็นสิ่งที่แสวงหาผลประโยชน์ของโลกเขา เราเชื่อเขา เราพร้อมใจที่จะให้เขา เราให้เขาเอง เราเป็นเหยื่อทั้งนั้นเลย

แต่ถ้าเรามีปัญญาขึ้นมา เราเข้าใจได้ ในเมื่อมันเป็นภาระทางสังคม ถ้ามันเป็นภาระทางสังคม เราก็รับผิดชอบไปกับสังคมเขา เราอยู่ในสังคมเขาโดยที่ไม่รับผิดชอบสังคมนั้น เป็นไปไม่ได้หรอก เราอยู่กับเขา เห็นไหม เราอยู่กับเขา เรารับผิดชอบ เราดูแลตามหน้าที่ของเรา แต่เราไม่เป็นเหยื่อเขาไง ถ้าเราเป็นเหยื่อเขา เราไม่มีสิ่งใดเลย เราไม่มีประโยชน์สิ่งใดเลย ทำโดยที่ไม่รู้สิ่งใดเลย เห็นไหม นี่คุณค่าของปัญญา

ถ้ามีปัญญาขึ้นมานะ ปัญญาทางโลก เห็นไหม มันจะมีวิกฤตขนาดไหน ชีวิตจะประสบปัญหาขนาดไหน ถ้ามีปัญญานะ เราสามารถเอาตัวรอดได้ แต่เอาตัวรอดด้วยสัมมาทิฏฐินะ แต่ถ้ามันเอาตัวรอดโดยมิจฉาทิฏฐิ นี่มันเป็นดาบสองคมไง คมหนึ่งมันจะทำประโยชน์กับเรา อีกคมหนึ่งมันจะทำลายเราตลอดไป เห็นไหม คมหนึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นความเห็นชอบ ถ้าเป็นความเห็นชอบนะ สรรพสิ่งนี้เราทำไปด้วยเหตุด้วยผล มันเป็นเรื่องผลประโยชน์ เป็นเรื่องของคุณงามความดี

แต่ถ้าอีกคมหนึ่ง เห็นไหม มันเป็นเรื่องการเอารัดเอาเปรียบ มันเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว มันเป็นเรื่องการเหยียบย่ำทำลายเขา สิ่งนี้มันเป็นโทษ ถ้ามันเป็นโทษ เราถึงต้องมีสติ เรามีสติมีปัญญาของเรา ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา สติปัญญาระลึกรู้อยู่ เราเป็นมนุษย์นะ เราเป็นมนุษย์ เราเป็นสัตว์ประเสริฐ สัตว์ประเสริฐเป็นผู้ที่มีปัญญา เห็นไหม

คนที่มีสติดี เขาจะยับยั้งเขา ดูสิ เหตุการณ์วิกฤติที่มันเกิดขึ้น คนที่มีสตินะ เขากำหนดได้ มันเหมือนเป็นคนที่คุมเกม เราคุมเกม เราไม่ตื่นเต้นไปกับเขา ปัญหาต่างๆ เราแก้ไขได้หมด แต่ถ้าเราขาดสตินะ พอเกิดเหตุการณ์เกิดขึ้น เรามีความตกใจไปกับเขา เรามีความโมโหโทโสไปกับเขา เราจะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาในนั้น แล้วปัญหานั้นมันจะบานปลายไปเรื่อยๆ เพราะอะไร เพราะเราเป็นตัวเร่งให้ปัญหานี้ขยายไปเรื่อย

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เราอยู่กับปัญหานั้นน่ะ แต่เราไม่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหานั้น เราอยู่กับปัญหานั้น แต่เราสงบ เรามีสติ เรามีความรับรู้ของเรา ปัญหาอย่างใดเกิดขึ้น เราจะแก้ไขปัญหานั้นไปได้ นี่ปัญญาทางโลก มันก็มีประโยชน์ทั้งนั้นนะ

นี่เวลาเรื่องบอกว่าความคมไง ความคมของน้ำ น้ำถ้ามันรวมตัวกันมันทำลายนะ มันทำลายสิ่งที่เป็นวัตถุ มันทำลายภูเขา มันทำให้ดินมันสไลด์ ทำให้ดินมันต่างๆ มันทำลายได้หมดเลย เวลาลมนะ ลม เวลามันพัดกวน ลมมันเป็นเฮอริเคนมันหมุนนะ มันหอบเอาบ้านเรือน หอบเอารถ หอบเอาสิ่งต่างๆ ไปได้หมดเลย เห็นไหม นี่เวลาความคมของลมของน้ำ

แต่ความคมของปัญญาเราล่ะ ปัญญาของเรานะเวลามันจะคมขึ้นมา เห็นไหม ถ้าเรามีสติ เราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้ามีปัญญาขึ้นมามันจะทำลายกิเลส กิเลสที่เป็นนามธรรม ที่น้ำก็ชำระล้างไม่ได้ ดิน น้ำ ลม ไฟ ชำระสิ่งนี้ไม่ได้ ดิน น้ำ ลม ไฟ รวมกันมาถึงเป็นธาตุ ธาตุ มหาภูตธาตุที่ให้จิตนี้มันมีชีวิต มันได้บริหารจัดการในชีวิตนี้ ถ้ามันมีปัญญาขึ้นมา มันจะเห็นการเกิดในอริยทรัพย์ เห็นการเกิด ปฏิสนธิจิต เกิดในไข่ เกิดในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ เห็นไหม สิ่งที่เกิดขึ้นมามันถึงเป็นสิ่งที่มีชีวิต มีชีวิตมีความรู้สึก มีความรับรู้

ความรู้สึก ความรับรู้นี้ มันจะส่งเสริมด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันแสวงหาแต่ความทุกข์ความยาก แสวงหาแต่เวรแต่กรรมมาให้กับจิตดวงนี้ ถ้าจิตดวงนี้มีสติมีปัญญาเข้ามา เขาเกิดมา เขาสร้างคุณงามความดีของเขา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ เห็นไหม ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย อาศัยคุณงามความดี อาศัยสติปัญญายับยั้ง แม้แต่เป็นหัวหน้าสัตว์ นายพรานเขาจะมาฆ่า บอกให้หมู่คณะหลบหนีนะ ตัวเองจะหาอุบายวิธีการหลอกล่อเขา เป็นสัตว์นะ เป็นสัตว์แต่มีสติปัญญาขนาดที่ว่าหลอกล่อให้มนุษย์ หลอกล่อให้นายพรานหลงทาง หลอกล่อให้นายพรานไม่ให้ยิงสัตว์นั้นได้ พาให้หมู่คณะรอดตายหมดเลย เห็นไหม เวลาปัญญาที่หมุนเวียนในวัฏฏะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์สร้างสมปัญญาอย่างนี้มา นั้นคือปัญญาของโลกไง ปัญญาที่สร้างสมขึ้นมาเป็นวัฏฏะ มันเป็นประโยชน์ขนาดนั้น

แต่เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมไปแล้ว ตรัสรู้ธรรมด้วยอะไร? ด้วยมรรคญาณ มรรคญาณ ดำริชอบ ความดำริ ความเพียรต่างๆ มันเป็นความชอบธรรม ความชอบธรรมอย่างนี้มันจะเกิด คมของปัญญามันจะเข้ามาชำระล้างกิเลสไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเป็นนามธรรมๆ ที่ไม่มีสิ่งใดที่จะไปจับต้อง ไม่มีสิ่งใดที่จะไปเห็น ไม่มีสิ่งใดที่จะไปแยกแยะ ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เป็นอริยทรัพย์ขึ้นมาได้

เราบวชมาเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เรามีหน้าที่การงานนะ เกิดมาเป็นมนุษย์ใช่ไหม มนุษย์เขามีปากมีท้อง เขาต้องทำมาหากิน เขาต้องปากกัดตีนถีบของเขาไป เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เรามาบวชเป็นพระนะ เป็นศากบุตรพุทธชิโนรส เป็นสมมุติสงฆ์ เราก็เป็นพระโดยสมมุติ

ถ้าเป็นพระโดยสมมุติ เราก็มีธรรมวินัยเป็นข้อวัตร มีธรรมวินัยเป็นที่อาศัย ข้อวัตรเป็นที่อาศัย เป็นเครื่องอยู่ของใจ ใจหาข้อวัตรเป็นที่พึ่งอยู่ เห็นไหม สิ่งนี้เราก็ใช้ปัญญาของเรา เพื่อบริหารจัดการของเรา ถ้าบริหารจัดการของเรา ถ้าจิตใจมันอยู่กับข้อวัตรปฏิบัติ มันร่มเย็นเป็นสุขนะ ถ้าร่มเย็นเป็นสุข เราทำหน้าที่การงานของเราไปด้วยความพอใจ

แต่ถ้ามันไม่มีความร่มเย็นเป็นสุข ทำข้อวัตรมันเบื่อหน่าย มันเหนื่อยหน่าย มันไม่ต้องการ เห็นไหม นี่จิตใจ กิเลสมันครอบงำ พอกิเลสครอบงำ มันไม่ชอบสิ่งใดมันอึดอัดขัดข้องไปหมดเลย มันดีดดิ้นไปหมดเลย ถ้าเรามีสติปัญญา เห็นไหม ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ จิตใจเป็นนามธรรม จิตใจนี้มันดีดดิ้น จิตใจนี้มันทำให้เราเกิดเราตาย เป็นเรานี่ เป็นความรู้สึกนึกคิดเรานี่แหละ อย่างนี้เป็นสัญญาอารมณ์ มันเกิดจากจิต

แต่เวลาตัวจิตแท้ๆ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใสๆ ตัวพลังงานนี้ เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นมัน พอไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นมัน เราเชื่อในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราถึงได้มาบวช บวชเป็นนักรบจะรบกับกิเลสเห็นไหม เราใช้ปัญญาของเราดูแลรักษาให้ความเป็นพระของเราอยู่ในข้อวัตรปฏิบัติของเรา

สิ่งที่พระของเรา เราดูแลชีวิตของเราให้เป็นพระของเรา อยู่ในข้อวัตรปฏิบัติของเรา เพื่อจะรักษา เพื่อจะดูแล เพื่อจะเข้าไปสู่จิตเดิมแท้ เพื่อจะเข้าไปสู่ใจของเรา ถ้าไปสู่ใจของเรา เห็นไหม ถ้าจิตมันสงบได้มันจะร่มเย็นเป็นสุขนะ เวลาจิตที่มันอยู่กับข้อวัตรปฏิบัติ ถ้ามันดีดดิ้น มันไม่พอใจของมัน มันก็มีความเครียด มีความวิตก มีความกังวล มีความเดือดร้อน

แต่ถ้ามันมีความพอใจ เห็นไหม เพราะมันมีปัญญาของมัน แยกแยะสิ่งที่เป็นเรื่องของใจ ถ้าใจอยู่ตรงนี้ได้มันก็ร่มเย็นเป็นสุข มันอยู่กับข้อวัตรได้ ข้อวัตรนั้นจะทำให้จิตใจนี้มันหดสั้นเข้ามา หดสั้นออกมาจากโลก

เราบวชมาแล้ว เราเป็นพระเราอยู่กับวัด แต่จิตใจเราคิดออกไปนอกเรื่อง คิดไปเรื่องวัฏสงสาร คิดไปเรื่องโลกทั้งหมดเลย เห็นไหม กายเราอยู่วัด แต่จิตใจเราออกจากวัดไป แต่เรามีข้อวัตรปฏิบัติ จิตใจมันก็อยู่กับข้อวัตรปฏิบัติ ร่างกายก็อยู่ในวัด จิตใจมันก็อยู่ในวัตร พออยู่ในวัดขึ้นมา สิ่งนี้เป็นหน้าที่การงานของเรา เพื่อให้จิตใจมันมีเครื่องอยู่

ถ้าจิตใจไม่มีเครื่องอยู่ มันก็ต้องดิ้นรนของมัน มันก็ต้องแผ่ออกไปสู่โลก แผ่ออกไปสู่วัฏสงสาร เรามีข้อวัตรนี้ก็เป็นเครื่องอยู่ เห็นไหม เรามีความพอใจของเรา ถ้ามีสติปัญญาของเรา เราภาวนาของเรา มันสงบระงับเข้ามา ถ้ามันสงบเข้ามา เราฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาอย่างนี้ คมของปัญญาอย่างนี้มันจะชำระล้าง

ถ้าเกิดเป็นปัญญามันเป็นภาวนามยปัญญา ถ้าเกิดเป็นภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญามันเกิดจากที่ไหนล่ะ ในตำรับตำรามันก็มีแต่ชื่อทั้งนั้นล่ะ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาแต่ชื่อ แล้วก็เข้าใจไม่ได้นะ เวลาบอกว่าปัญญาก็คือปัญญาไง ปัญญาก็คือรับรู้ ปัญญาก็คือ ความเข้าใจ ปัญญาที่มันสงบระงับเข้ามา นี่เห็นไหม เวลาเรามีปัญญา เราอยู่ในข้อวัตรปฏิบัติ เรามีเครื่องอยู่ของเรา เราก็ต้องมีปัญญาของเรานะ

ถ้าไม่มีปัญญาของเรา นี่ทำทำไม? โลกเขาก็ทำ บวชมาเป็นพระ งานของพระมันไม่ควรเป็นแบบนี้ งานของพระมันก็ต้องงานภาวนา งานของพระมันก็ชำระล้างกิเลส งานของพระมาทำข้อวัตรอยู่นี่ ทำโลกเขาก็ทำกัน อ้าว! โลกเขาก็ทำเพื่อดำรงชีวิตของเขา

แต่เราทำในสถานะของพระภิกษุไง ในภิกษุมันก็มีกิจของสงฆ์ ในเมื่อสงฆ์มันก็ต้องมีชีวิตเหมือนกัน สงฆ์ก็ต้องดำรงชีวิตของเราไป ถ้าสงฆ์ดำรงชีวิตของเราไป เราจะทำในสถานะของพระไง โลกเขาทำสถานะของโลก เห็นไหม เขาก็ทำเพื่อวิชาชีพของเขา เพื่อความดำรงชีวิตของเขา

นี่เราเป็นพระ เราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง แต่สถานะของพระ ดูสิ เขาบอก “กิจของสงฆ์ๆ” มันไม่ใช่หน้าที่ของสงฆ์ ไม่ใช่กิจของสงฆ์ กิจของสงฆ์ก็คือภาวนา กิจของสงฆ์คือทำหน้าที่การงานของเรา นี่พูดถึงเราปฏิบัตินะ แต่กิจของสงฆ์ของข้างนอกเขา เป็นพระเป็นเจ้า กิจของสงฆ์เขาต้องเผยแผ่ธรรม เขาก็หาแต่ชื่อเสียงกิตติศักดิ์กิตติคุณของเขา นั่นเขาว่ากิจของสงฆ์ กิจของสงฆ์มันก็อยู่ที่มุมมอง กิจของสงฆ์มันก็อยู่ที่ว่าใครจะว่ากิจของสงฆ์คืออะไร เป็นกิจของสงฆ์

“คมของปัญญา” คมของปัญญาที่ชำระล้างกิเลสมันเป็นมรรค คมของปัญญาที่เป็นทิฏฐิมานะ เห็นไหม กิจของสงฆ์ของใคร? กิจของสงฆ์ กิจของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ก็เราจะเผยแผ่ธรรมไง เราเผยแผ่ธรรม เราจะเป็นผู้นำ เราจะให้คนอื่นเขารู้จักมักคุ้นไง นี่กิจของสงฆ์ อ้าว! เป็นนักปราชญ์นะ จะเผยแผ่ธรรมนะ จะเผยแผ่ธรรมนี่กิจของสงฆ์

มันทำลายตัวเอง เพราะอะไร มันทำลายตัวเองเพราะตัวเองยังไม่มีคุณธรรม ยังไม่มีสิ่งใดที่ออกไปเผชิญกับโลก ถ้าเราไม่มีหลักมีเกณฑ์ออกไปเผชิญกับโลก เห็นไหม ดูสิ เด็กน้อยมันไปเจอสิ่งใดมันก็ไม่เข้าใจสิ่งนั้น เด็กน้อยไปเจอวิกฤต ไปเจอสิ่งต่างๆ ของโลกเขา ไปเจอเล่ห์เจอเหลี่ยมของสังคม มันไปหมดน่ะ มันไม่รู้ทันหรอก

กิจของสงฆ์เหรอ กิจของสงฆ์มันจะมาทำลายสงฆ์องค์นั้นไง ถ้ากิจของสงฆ์ของเรา กิจของสงฆ์ ข้อวัตรปฏิบัติมันก็เป็นกิจของสงฆ์ ถ้าเรามีปัญญาขึ้นมา มันมีปัญญา มันจะไม่น้อยเนื้อต่ำใจ มันไม่น้อยเนื้อต่ำใจไง “โลกเขาก็ทำกัน โลกเขาก็ทำอย่างนี้ เขาก็เก็บ เขาก็ล้าง เขาก็ถูของเขาอยู่อย่างนี้ เราก็บวชมาเป็นพระแล้วก็นึกว่าจะพ้นเรื่องอย่างนี้มา มันก็ไม่พ้นสักที” เราไม่พ้นมาเพราะอะไร เพราะเรามีชีวิต ในเมื่อยังมีการอยู่การกินก็ต้องมี ในเมื่อมีการอยู่การกินมันก็ต้องเก็บรักษา มีการอยู่การกินขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ว่าทำในสถานะของใคร

ถ้าทำในสถานะของพระ วัตรในวิหาร วัตรในศาลา วัตรต่างๆ วัตรในกุฎีวัตร วัตรในส้วม มันมีข้อวัตรปฏิบัติไปหมด กิจของสงฆ์ เห็นไหม ภิกษุจะเข้าส้วมจะเข้าอย่างไร จะส่งเสียงกระแอมกระไอให้คนข้างในเขารู้อย่างไร เพราะสมัยโบราณมันเป็นส้วมหลุมทั้งหมด มันมีแต่ฉากผ้าบังไว้ มันไม่มีสิ่งที่มันวิจิตรพิสดารแบบสมัยนี้

ฉะนั้น เวลาจะเข้าจะออกเขามีข้อวัตรนะ ถ้าเป็นพระ เราเป็นพระ เราต้องศึกษาเรื่องอย่างนี้ ถ้าศึกษาเรื่องอย่างนี้แล้ว เห็นไหม จะเข้าสังคมใดเราก็เข้าด้วยความองอาจกล้าหาญ แล้วเวลาเราถูกเราผิดอย่างไร เราทำผิดเราก็รู้ผิด เพราะวินัยบังคับไว้อย่างนั้น ข้อวัตรปฏิบัติเป็นอย่างนี้จริงๆ

ถ้าข้อวัตรเป็นอย่างนี้ ถ้าเราทำผิดจากข้อวัตรมันก็ผิด เราจะเป็นอาวุโส จะเป็นภันเต ผิดก็คือผิด วินัยมันไม่ยกเว้นให้อาวุโส ภันเตทั้งสิ้น เว้นไว้แต่ภิกษุไข้ เว้นไว้แต่ภิกษุที่ผีเข้า ธรรมวินัยนี่เว้นไว้ แต่ถ้าเป็นปกติแล้วนะ วินัยก็คือวินัย เราเคารพกันที่คุณธรรมนะ คุณธรรมหมายถึงว่า ความเป็นจริง ถ้ามีความเป็นจริงในหัวใจ ถ้ามันรู้แล้ว ถ้าเราศึกษาอย่างนี้แล้ว เราเป็นสงฆ์แล้ว เราจะเข้าสังคมไหนมันจะไม่เก้อไม่เขิน ถ้าเราไม่เก้อไม่เขิน เราทำถูกทำผิดเราก็รู้ ในเมื่อเป็นธรรมวินัยอันเดียวกัน

แต่ถ้าเราไม่รู้เรื่องนี้ เราก็บอก “ทำอะไรทำไมคนนู้นเขาไม่เห็นด้วย ทำไมเราเห็นด้วย ทำไมมันแตกต่างกันไปหมดเลย” อันนี้เป็นเรื่องของทิฏฐิ เห็นไหม เรื่องทิฏฐิ ดูสิ วิปัสสนาธุระ คันถธุระ คันถธุระของเขา เขาว่างานของเขางานหนักหนาสาหัสสากรรจ์นะ เที่ยวปกครอง เที่ยวดูแล เป็นเรื่องยุ่งยากมาก

แล้ววิปัสสนาธุระของเรา วิปัสสนาธุระนี่ให้ดูแลหัวใจ เพราะเราบวชมาเราบวชมาเป็นสมมุติสงฆ์นะ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราจะเป็นอริยสงฆ์ที่ใจ แม้แต่ฆราวาสเขา ผู้ที่ไม่บวชนะ เวลาเขาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจริงๆ เขาก็เป็นสังฆะขึ้นมาในใจของเขาเลยล่ะ ถ้าใจเขาเป็นสังฆะ เขาบวชหัวใจของเขา

ทีนี้เราเป็นพระเป็นเจ้า ถ้าเราเป็นพระ ถ้าเราไม่ทรงธรรมทรงวินัย ใครจะทรง เราเป็นพระ วินัยเราก็ต้องทรงไว้ แล้วเวลาสมาธิเราก็ต้องทรงไว้ ถ้าเราทรงสมาธิไว้ เราทรงปัญญาของเราไว้ แล้วปัญญามันเป็นปัญญาอย่างไร สุตมยปัญญาเป็นอย่างไร จินตมยปัญญาเป็นอย่างไร ภาวนามยปัญญาเป็นอย่างไร ปัญญาในพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการปัญญาระดับไหน

ปัญญาของโลกก็สุตมยปัญญา ก็คันถธุระไง ในเมื่อศึกษาขึ้นมา เราเข้าใจธรรมและวินัย มีที่มาที่ไปหมด พุทธพจน์เข้าใจได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดที่ไหน พูดกับใคร พูดเพื่อประโยชน์อะไร เข้าใจได้หมด นี่สุตมยปัญญา แล้วจินตมยปัญญา ดูสิ เรียงความต่างๆ เราเรียงความ เราตั้งกระทู้ในเรื่องธรรม เวลาเราเทศนาว่าการ เราเผยแผ่ขึ้นมาใช่ไหม นี่ธรรม เวลายกบาลีขึ้น แล้วเราก็ขยายความไป นี่จินตมยปัญญา

แล้วภาวนามยปัญญานี่ทำอย่างใด เวลาภาวนามยปัญญา ปัญญาอย่างไร “อ้าว! ก็มีปัญญาแล้ว สติปัฏฐาน ๔ รู้ตัวทั่วพร้อม มันก็เป็นปัญญาทั้งนั้นน่ะ เห็นไหม สติปัฏฐาน ๔ กายา จิตตา เวทนา นี่ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็รู้ๆๆ หมด มันก็เป็นปัญญาๆ” นี่เวลามันไม่เป็น ปัญญามันไม่มีนะ มันอ้างอิง มันรวบยอดว่าปัญญาเป็นอันเดียวกัน

แต่เวลากรรมฐานเรานะ วิปัสสนาธุระ เรามีครูมีอาจารย์ของเรานะ เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าเป็นปัญญาหยาบๆ อย่างนี้ เวลาจำมา เห็นไหม สิ่งที่จำมาเป็นสมมุติ ธรรมวินัย สิ่งที่เป็นสัญญา เวลาเข้าสู่วงวิปัสสนา เขาไม่รับฟัง เขาไม่ให้พูดด้วย นี่เพราะมันเป็นปัญญา หนังสือมันก็มี พอหนังสือมี สิ่งที่เป็นสัญญาที่เป็นตำรา สิ่งนี้ถ้าเป็นธรรมวินัยต้องตามนั้น แต่ถ้าเวลาภาวนาขึ้นมาเราอ้างสิ่งนั้นไม่ได้ ถ้าอ้างสิ่งนั้นก็ย้อนกลับไปอดีตไง ย้อนกลับไปที่ว่าเรายังไม่เกิดนู่น

นี้เราเกิดเป็นคนแล้ว เราเกิดมาด้วยเวรด้วยกรรม เราปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันจะเป็นจริงขึ้นมานี่ เกิดมาเป็นคน แล้วคนต้องอยู่ต้องกิน คนต้องมีอาชีพ ต้องมีการกระทำ เกิดมาเป็นพระ พระบวชมาแล้วต้องมีปัญญา เวลาบวชมาอยู่ในวงของวิปัสสนา วิปัสสนาธุระ เราก็ต้องฝึกหัดภาวนา ฝึกหัด มีสติ สติเป็นอย่างไร

สติเห็นไหม “สติ” ชื่อก็อยู่ในตำรา เราไม่ต้องเอาชื่อที่ตำรามาพูดกัน เราจะเอาความจริงนี่ มีสติไหม ถ้าขาดสติก็ยอมรับว่าขาดสติ ถ้ามีสติขึ้นมามันจะเกิดสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิมันเป็นอย่างใด ถ้ามีสมาธิขึ้นมา สมาธิ สมาธิมันสงบร่มเย็นขนาดไหน เวลาสงบแล้วมันรับรู้มากน้อยแค่ไหน ถ้าจิตสงบแล้วมันออกรู้เรื่องสิ่งใดบ้าง ถ้าไม่ออกรับรู้สิ่งใดเลย มันสงบเข้ามาเฉยๆ มันเป็นไปได้อย่างไร เวลามันออกใช้ปัญญา ปัญญาอย่างใด เห็นไหม

ถ้ามันภาวนามยปัญญา สิ่งที่เกิดปัญญาในพุทธศาสนา ปัญญาอย่างใด ในเมื่อเป็นโลก เราวางธรรมวินัยไว้เป็นข้อวัตรปฏิบัติ วางธรรมวินัยไว้ให้มีการศึกษาเล่าเรียน การศึกษาเล่าเรียนนี่เป็นปูนหมายป้ายทาง เป็นเครื่องที่จะให้เราดำเนินกัน พอเราดำเนินกันไป พอเราปฏิบัติกัน นี่ปริยัติมาปฏิบัติ พอปฏิบัติแล้วปริยัติต้องวางไว้

เวลาเราพูดถึงประสบการณ์จริง ประสบการณ์ของใจที่มันเป็นจริง ถ้าประสบการณ์ที่เป็นจริง สิ่งที่มันเป็นจริง เห็นไหม ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ถ้ามันเกิดขึ้นมานี่ นี่ไง ถ้ามันเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมามันมีความคม แหลมคม กับมีความอ่อนด้อย มันมีความเข้มแข็ง สิ่งที่มันจะเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นมาได้อย่างใด มันต้องมีสัมมาสมาธิ ถ้ามีสัมมาสมาธิไปรองรับไว้แล้ว ถึงออกใช้ปัญญา ปัญญามันจะฟาดฟัน ปัญญามันจะคมกล้า แล้วคมกล้ามันจับต้องได้

เห็นไหม เวลาปฏิบัติไป พอจิตสงบแล้ว น้ำใสจะเห็นตัวปลา นี่ตำราก็ว่ากันอย่างนั้นทั้งนั้นน่ะ “พอน้ำใสจะเห็นตัวปลา” แล้วผู้ที่ปฏิบัติโดยตำรานะ “น้ำใส...น้ำใส...” รอปลามันจะมาหาไง รอกิเลสมันจะมาแล้วจะจับกิเลสฆ่าไง...อีก ๕๐๐ ชาติ

กิเลส พญามารมันครอบงำหัวใจเราอยู่ แล้วมันจะยอมให้เราพลิกฟ้าคว่ำดินเพื่อจะทำลายมันเหรอ มันเป็นไปไม่ได้หรอก นี่ถ้าน้ำใสจะเห็นตัวปลานะ เดี๋ยวมันจะเอาปลาหุ่นยนต์มาให้ดู พอปลาหุ่นยนต์มาให้ดู ปลามันไม่มีชีวิต เราจะงงเลย “เอ๊ะ! ปลามันไม่ต้องหายใจเนาะ ปลามันมาได้อย่างไรเนาะ น้ำใสจะเห็นตัวปลา เดี๋ยวก็กิเลสมันจะสร้างปลามาให้ดู จะเอากิเลสมาให้ดูนะ” นี่มันจะไม่มีทางได้พบได้เห็น

“น้ำใสจะเห็นตัวปลา” พอจิตมันสงบแล้วเราจะแยกแยะอย่างไร เราจะเห็นกายนี่ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็นอย่างใด ถ้าเห็นอย่างใด มันต้องขุดคุ้ยไง ถ้าเราไม่ขุดคุ้ยหากิเลส เราไม่เจอกิเลส เราไม่ขุดคุ้ยหากาย เวทนา จิต ธรรม โดยความเป็นจริง เราไม่เห็นหรอก สิ่งที่เห็น กันอยู่นี่มันเป็นปัญญาโลกๆ ไง ปัญญาโลกๆ เห็นไหม ดูสิ ลิขสิทธิ์ ทางโลก สินค้าออกใหม่ไม่ได้ ออกปั๊บมันก๊อบปี้ทันทีเลย ออกเดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้ทั่วโลกมีขาย

นี่ก็เหมือนกัน นี่ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก๊อบปี้มาหมดแล้ว นี่ไง กาย เวทนา จิต ธรรม สติปัฏฐาน ๔ รู้ไปหมด ทุกคนรู้ไปหมด นี่ไง คันถธุระ เพราะอะไร เพราะเรียนมา จำมา

ถ้าปัญญาอย่างนี้ ในสังคมวิปัสสนาธุระบอกว่า “นี้คือสัญญา” สัญญาแก้กิเลสไม่ได้ สมบัติของคนอื่นเอามาเป็นสมบัติของเราไม่ได้ สมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่สมบัติของเรา สมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วางธรรมวินัยไว้ให้เราศึกษา ให้เรามีตัวอย่าง มีแบบอย่าง แต่มันไม่ใช่ปัญญาของเรา มันไม่ใช่สมบัติของเรา ถ้าเป็นสมบัติของเรา เราศึกษามาแล้วเราต้องวางสิ่งนั้นไว้ แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมาให้ตามความเป็นจริง

ถ้ามันเกิดความเป็นจริงขึ้นมานะ แล้วถ้าจิตของเราขุดคุ้ย ขุดคุ้ยหามัน ถ้ามันเป็นกาย เป็นกายอย่างไร ถ้าเป็นกายโดยสัญญานี่มันเห็นของมัน มันรู้ของมัน หุ่นยนต์มันก็มี เดี๋ยวนี้ทางหมอเขาเรียก “อาจารย์ใหญ่ อาจารย์ใหญ่” เขาไปศึกษาซากศพทั้งนั้นน่ะ หมอจะจบมาได้ เขาต้องศึกษาจากอาจารย์ใหญ่นะ เขาศึกษาจากซากศพ เขาจับศพพลิกแล้วพลิกอีก เขาผ่าแล้วผ่าอีก เขาเย็บแล้วเย็บอีก เขาศึกษามาทั้งนั้นน่ะ แล้วเขาได้อะไร? เขาได้วิชาชีพ นี่เขาเห็นๆ อยู่นะ เขาศึกษาอาจารย์ใหญ่เลย เขาจับเขาต้องเลย

แล้วเราเป็นนักปฏิบัติ แล้วนักปฏิบัติเราเองก็มีกาย เราเองก็มีหมู่คณะ เราก็เห็นคน เราก็เห็นกาย เวทนา จิต ธรรมเหมือนกัน ถ้าเราเห็น ทำไมเราพิจารณาไม่ได้ ทำไมเรารู้ไม่ได้ พอเรารู้ได้ มันคืออะไรล่ะ? มันก็คือสัญญา มันคือสัญญา คือสัญญาของโลกไง ปัญญาอย่างนี้เป็นปัญญาของโลก

ปัญญานี่ปัญญามีสองคม ดาบสองคม ปัญญาหนึ่งคือปัญญาโลก ปัญญาหนึ่งคือปัญญาธรรม ถ้าปัญญาของโลกเป็นอย่างนั้น แล้วเราเข้าใจว่าปัญญาโลกนี่เป็นวิปัสสนา แล้วเราก็เดินตามรอยอยู่อย่างนั้น มันจะไปไหน? มันก็วนอยู่กับโลกไง พออยู่กับโลกนะ “อืม! ปฏิบัติแล้วก็สบายๆ สบายๆ แล้วไงต่อ” มันไปต่อไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของโลก โลกมันจบลงที่นี่ โลกมันจบลงสู่ความรู้สึกนึกคิดของเรา แล้วไปไหนต่อล่ะ

แต่ถ้าเป็นวิปัสสนาธุระ เรามีครูบาอาจารย์ ถ้าคมปัญญาแบบนี้ แบบหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านพาทำขึ้นมา แล้วเราเองเราก็จะประพฤติปฏิบัติธรรมตามครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าจิตมันสงบแล้ว จิตมันสงบนะ มันสงบเราก็ฝึกหัดออกหัดใช้ หัดขุดคุ้ยหามัน ถ้าขุดคุ้ยหามัน มันก็จะเจอ

เดินเหยียบหนามมา หนามตำฝ่าเท้ามา เวลาเดินไปนี่มันเจ็บแปล๊บ แปล๊บๆ ตลอด แต่เวลามาบ่ง “มันอยู่ไหน มันอยู่ไหน” มันก็อยู่ในฝ่าเท้านั่นน่ะ มันยังบ่งยากเลย แล้วนี่กิเลสมันอยู่กับใจ แล้วเราจะไปหามันที่ไหน? จิตสงบแล้วเห็นกายแวบไปแวบมา มันแปล๊บๆ ที่ใจ มันรู้ว่ามันมีอยู่ มันฝังใจอยู่น่ะ มันอยู่ในใจนี่ แต่ทำไมมันไม่เจอ ทำไมมันบ่งไม่ออก ทำไมมันทำไม่ได้ เห็นไหม นี่ปัญญาอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ของเราถ้าจิตสงบแล้วมันถึงจะรู้

ถ้าจิตไม่สงบนะ “อืม! หนามจะตำที่ไหน” หนามมันตำก็หนามมันตำในตำรา มันก็ไม่เห็น ไม่เป็นรู้สึกนึกคิดอะไรขึ้นมาเลย ถ้าหนามตำๆ ก็บ่งออกสิ หนามตำเราก็เอาเข็มบ่ง มันก็เอาเข็มบ่งแล้วเอาหนามออกมา มันก็เป็นปกติ นี่เป็นปัญญาโลกๆ มันก็คิดตาม “อืม! มันก็ใช่เนาะ” แต่ข้อเท็จจริงมันได้บ่งจริงหรือเปล่าล่ะ นี่ไง สัญญามันเป็นแบบนี้ไง นี่คมปัญญาของโลกๆ ไง แล้วเราได้ใช้แล้ว เราได้ใช้แล้วตามทฤษฎี เราได้ใช้แล้วตามปัญญา พอเราใช้แล้วเราก็ว่าเราใช้ปัญญาแล้ว แล้วปัญญาอย่างนี้แก้กิเลสหรือเปล่า

แต่ถ้าเราใช้ความสงบของใจนะ ถ้าใจมันสงบระงับขึ้นมาแล้วเราฝึกหัดใช้ ถ้ามันไม่ไปนะ รำพึงไป สมาธิรำพึงได้ รำพึงไปว่าอยากจะพ้นจากกิเลส อยากจะหากิเลส ขุดคุ้ยหามัน ใช้สติปัญญา จิตสงบแล้วใช้สติปัญญาแยกแยะมัน ถ้ามันเห็นกายนะ โอ๋ย! มันสะเทือนหัวใจ ถ้ามันเวทนา เวทนาเราก็จับต้องได้ ถ้าจิตมันสงบแล้วนะ จับเวทนา เห็นไหม จับได้ เวทนา ใครเป็นเวทนา เวทนามันเกิดมาได้อย่างใด ถ้าจิตสงบแล้วมันจับต้องได้ เหมือนหมอเรียนอาจารย์ใหญ่ หมอมีสติปัญญา อาจารย์ใหญ่เขาจับต้องได้ แต่ถ้าคนไม่เคยเรียนเข้าไปก็วิ่งหนีเลยนะ เจอซากศพแล้วกลัว

แต่ถ้ามันเป็นจิต เป็นธรรม ถ้าจิตมันสงบแล้วมันจับต้องได้ จับต้องได้คือรู้จักว่าหนามตำเท้า หนามตำใจ กิเลสฝังอยู่ในหัวใจ แล้วพอมันเห็นขึ้นมา มันก็ใช้ปัญญาแยกแยะของมัน คมของปัญญาอย่างนี้มันเกิดจากสัมมาสมาธิ คมของปัญญาอย่างนี้จะจัดตั้ง จะนึกคิดจะให้เป็นแบบความพอใจ...ไม่มี ถ้าเป็นความพอใจมันเป็นสัญญา มันเป็นเรื่องสิ่งที่เรานึกคิด สิ่งที่เป็นรูปธรรมอย่างนี้ สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของโลกๆ พอเรื่องโลกๆ โลกก็คือโลกไง มันเกิดขึ้นมาจากใจ มันก็ดับลงที่ใจ แล้วมันก็สบายๆ อย่างนั้นไง

สบายๆ แล้วอย่างไรต่อ?

“ไม่รู้” เห็นไหม ผลที่จบขึ้นมาคือความสงสัย ผลที่จบลงไปคือความลังเล ผลที่จบลงไปคือความฝังใจ คือสิ่งที่หนามตำใจอยู่อย่างนี้ แก้ไขสิ่งใดไม่ออกเลย แล้วนี่เผยแผ่ธรรม เผยแผ่ธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพุทธพจน์ มันต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ ใครอย่าโต้อย่าเถียง โต้เถียงไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่ว่าปัญญาที่มันเป็นอีกคมหนึ่งที่มาทำลายตัวเอง แต่ถ้าเราเคยทำลายตัวเรามาแล้ว ในเมื่อเราเป็นโลก เราก็เป็นความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้เหมือนกัน แต่ความรู้สึกนึกคิดของเรา เรามีสติปัญญาควบคุมดูแลรักษา แล้วเรามีครูบาอาจารย์ของเราคอยบอกคอยชี้คอยแนะขึ้นมา เราก็ทำตามครูบาอาจารย์ของเรา

ถ้าหัวใจของเรา เราพยายามทำความสงบของใจเข้ามา ในเมื่อมันอยากรู้อยากเห็น มันอยากดิ้นอยากรน เราก็มีสติไว้ สติบังคับไว้ แล้วทำความสงบของใจเข้ามา พอจิตมันสงบเข้ามาแล้ว มันมีกำลังของมัน พอมีกำลังของมัน เรารำพึงไป เราน้อมหัวใจนี้ น้อมความรู้สึกนึกคิดอันนี้ไปสู่กาย สู่เวทนา สู่จิต สู่ธรรม ถ้ามันรู้มันเห็น มันรู้มันเห็นมันก็แปล๊บในหัวใจไง ถ้ามันรู้มันเห็นก็เหมือนกับเข็มมันบ่งถึงหัวหนามไง พอมันบ่งถึงหัวหนาม มันสะกิดนะ อู๋ย! มันสะเทือนหัวใจนะ เวลาบ่งหัวหนามมันเจ็บ หืม! สะกิด มันสะดุ้งสะเทือนถึงหัวใจ มันจะบ่งหนาม

มันบ่งหนามด้วยสติด้วยปัญญา นี่คมของปัญญา ถ้ามันเข้าไปฟาดไปฟัน มันรู้มันเห็นอย่างนี้ ถ้ามันรู้เห็นอย่างนี้ นี่ไง คมของปัญญา คมของน้ำ คมของลม ดูมันทำลายสิ ทำลายวัตถุ นี่มันมีกำลังมาก ว่ามีดคม อะไรคม มันไม่เท่ากับคมของน้ำคมของลมหรอก แต่ถ้ามันคมของปัญญาทางโลก มันก็เป็นปัญญาที่เราดูแลรักษาเรา

แต่ถ้าคมของปัญญาที่เกิดจากมรรคญาณ คมของปัญญาเกิดจากวิปัสสนาธุระ วิปัสสนาธุระนะ ดูสิ มันจะเป็นสามเณรน้อย ๗ ขวบก็เป็นพระอรหันต์ จะเป็นครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมาถึงที่สุดแห่งทุกข์ นี่มันอยู่ในหัวใจ เรารู้ได้อย่างไร นี่อายุขัยหรือรูปร่าง ร่างกาย มันก็รูปร่างร่างกายเหมือนกัน เราเป็นพระ เราก็ศีล ๒๒๗ เหมือนกัน เรารู้ได้อย่างไรว่าหัวใจของใครมีคุณธรรม หัวใจของใครมีคุณธรรม เห็นไหม

อริยทรัพย์ที่ว่ามันเกิดขึ้นมาจากใจนี่มันเกิดขึ้นมาอย่างไร สิ่งที่เป็นสัญญาข้างนอกเราก็รู้ได้ด้วยสัญญาข้างนอก แต่ความเป็นจริงข้างในมันใครรู้ได้ล่ะ แต่ครูบาอาจารย์ของเรารู้ได้ รู้ได้เพราะอะไร เพราะมีความจริงในหัวใจ มันก็ความจริงในหัวใจเหมือนกัน ถ้ามีความจริงในหัวใจ มันพิจารณาได้ มีเหตุมีผลการพิจารณาขึ้นมา นี่ถ้าจิตมันสงบขึ้นมามันรำพึงไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันจับได้ ถ้าจับได้นะ ถ้ามันใช้ปัญญาแยกแยะ นี่ปัญญา คมของปัญญามันจะถอนเสี้ยนถอนหนามอันนั้น

ถ้าถอนเสี้ยนถอนหนามอันนั้น มันสะเทือนหัวใจนะ สะเทือนหัวใจมาก แล้วถ้าปัญญามันคมกล้า คมกล้าเพราะมันมีกำลังของสมาธิ ถ้ากำลังของสมาธิมันอ่อน เพราะมันใช้งานไปแล้ว มันใช้งานบ่อยๆ ปัญญามันแยกแยะบ่อยๆ กำลังของสมาธิมันจะอ่อนลง นี่คมของปัญญามันก็เสื่อมลง พอเสื่อมลงขึ้นมามันก็เป็นสัญญา พอสัญญามาเทียบเคียง พอเทียบเคียงขึ้นมา เห็นไหม ดูสิ เวลาคมปัญญาที่เราขุดคุ้ยหากิเลส

เวลาปัญญามันถึง...ในเมื่อถ้าเป็นปลายเข็มสะกิดถึงเสี้ยนหนามในฝ่าเท้า มันจะมีความรู้สึกสะเทือนหัวใจมาก แต่เวลาเราใช้บ่อยครั้งๆ เข้า เราบ่งหนามบ่อยครั้งเข้า มือเราก็ไม่ชำนาญ ตาเราก็ฝ้าฟาง บ่งไปบ่งมามันออกไปสะกิดที่เนื้อ ไปสะกิดไม่ใช่ไปสะกิดที่หนาม “อืม! มันไม่มีแล้ว มันหายแล้ว...” มันเป็นสัญญาไง

ถ้าจิต ถ้าสมาธิมันอ่อนลง ปัญญาที่มันใช้อยู่นั่นน่ะมันเป็นสัญญาไป ถ้าสัญญาไปมันก็ไม่คมกล้าพอ เห็นไหม คมของปัญญามันก็เสื่อมถอย พอเสื่อมถอยเราก็ต้องกลับมาทำความสงบของใจ ถ้าใจสงบขึ้นมา เหมือนกับลับไง นี่ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นที่ลับปัญญา ปัญญานี่ลับคมกล้า ลับคมกล้าของมีด ของสติ ของปัญญา นี่ฝึกหัดใช้ ฝึกหัดธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เป็นที่ลับของปัญญา

ถ้าปัญญามันได้ฝึกได้หัด มันได้พิจารณาของมัน มันเกิดการฝึกฝน เกิดการกระทำ ถ้ามันเสื่อมมันถอยขึ้นมา เราก็ต้องกลับมาทำความสงบของใจ ทำความสงบของใจเข้าไปแล้ว ทำความสงบของใจจนเข็ม...ดูเข็มที่มันมาบ่งเราสิ ถ้าเข็มมันแหลมเข็มมันคม มันก็บ่งได้ มันก็เขี่ยได้ เข้าถึงหัวหนามได้ แต่ถ้าเอาหัวตอไปบ่งมันก็บ่งไม่ได้

จิตใจของเรา ถ้าจิตใจมันเป็นปัญญาที่เป็นเข็มที่แหลมที่คม มันจะแยกแยะ มันจะเปิดบาดแผลเข้าไปพยายามสะกิดสิ่งที่ฝังอยู่ในฝ่าเท้านั้นออก สะกิดสิ่งที่กิเลสฝังอยู่ในหัวใจนั้นออก นี่คมของปัญญาเราต้องดูแลรักษา ไม่ใช่ว่าเราได้ปัญญามา เราได้เข็มมาเล่มหนึ่ง เราใช้ตะบี้ตะบัน เอาไปใช้กับสิ่งที่คมแข็ง เข็มมันก็ทื่อหมด เข็มมันทื่อหมด แล้วเข็มถ้ามันเกิดสนิมขึ้นมา เราเอาไปบ่ง เป็นบาดทะยักขึ้นมาอีก นี่ก็เหมือนกัน ฝึกหัดใช้ปัญญาๆ พอปัญญาขึ้นไป พอปัญญาขึ้นไป ตะบี้ตะบันว่าเป็นปัญญาๆ ปัญญาอะไร?

ปัญญา ถ้ามันเป็นกิเลสบวกเข้ามา สมุทัยร่วมเข้ามา มันเป็นสัญญานะ ถ้ามันเป็นสัญญา เราปฏิบัติเราต้องรู้ ว่าถ้าเป็นปัญญานี่มันแยกมันแยะ มันพิจารณาไปแล้วมันโล่งมันโถง มันมีความสุข แต่ใช้ขนาดไหนมันต้องพักต้องผ่อน ต้องกลับมาทำความสงบของใจ มันจะใช้หน้าเดียวไม่ได้ มันไม่มีว่าปัญญาเกิดแล้วจะใช้ว่าเราได้ปัญญามาแล้ว เหมือนเราได้ดาบอาญาสิทธิ์มาแล้ว เราจะมีสิทธิตลอดไป

ดาบอาญาสิทธิ์นี้เขาให้ใช้เฉพาะชั่วคราว ใช้เฉพาะกิจกรรมนั้น พอกิจกรรมนั้นจบสิ้นไปแล้ว ดาบอาญาสิทธิ์เขาก็ยึดคืนนะ เพราะดาบอาญาสิทธิ์เขายอมรับกัน เพราะอำนาจรัฐมันเข้มแข็ง ถ้าอำนาจรัฐไม่เข้มแข็ง ดาบอาญาสิทธิ์นั้นมันก็เหมือนดาบเด็กเล่นน่ะ ที่ไหนเขาก็ให้กันได้ ดูลิเกสิ มันมีดาบอาญาสิทธิ์ทั้งนั้นน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน ปัญญาเราเกิดขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงมันไม่ใช่ลิเกนะ มันเป็นความจริง ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นข้อเท็จจริง ถ้าข้อเท็จจริงน่ะมันเป็นความจริงขึ้นมา เราก็ใช้ปัญญาของเรา ถ้าใช้ปัญญาแล้ว พิจารณาแล้วมันปล่อยมันวาง มันเป็นประโยชน์ขึ้นมา นั้นน่ะเป็นประโยชน์ ถ้าเป็นประโยชน์แล้วมันชะล่าใจไม่ได้หรอก พอคนปฏิบัติไปแล้วนี่มันรู้ คนทำครัวจะรู้ด้วยว่า มีดของเราใช้ทำครัวไปแล้วเดี๋ยวต้องลับ ต้องดูแลรักษา ถ้ามีดไม่ดูแลรักษา ทำไปๆ เดี๋ยวเราจะไม่มีมีดทำครัว

คมของปัญญา มันต้องใช้สติใช้สมาธิช่วยลับ ช่วยดูแลรักษา ปัญญามันถึงคมกล้า คมกล้าเข้าไปชำระแยกแยะสิ่งที่ฝังอยู่ในหัวใจ ถ้าฝังอยู่ในหัวใจ มันแยกแยะของมัน มันพิจารณาของมัน มันแก้ไขของมัน เห็นไหม สิ่งนี้ถึงจะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา เราฝึกหัดดูแล

เราบวชมาเป็นพระนะ เราเป็นผู้นำของชุมชน เราต้องมีปัญญา ทางโลกก็ต้องมีปัญญา แม้แต่ทำข้อวัตรปฏิบัติเราก็ต้องมีปัญญาของเรา ดูแลของเรา ดูแลหมู่คณะ ดูแลสถานที่อยู่อาศัย เวลาเขาไปวัด เข้าวัดเข้าวา เขาเข้าวัดมาเขารู้เลยนะ ว่าวัดนี้ พระอยู่ในวัดนี้ดีหรือไม่ดี ถ้าพระอยู่ในนั้นดี มันสงบ มันสงัด มันสะอาด มันดี มันดีทุกอย่างไปหมด

แต่ถ้าเข้าไปในวัดในวานะ มีแต่สิ่งโสโครก มีแต่ความหมักหมม มีแต่เรื่องธุรกิจ มีแต่เรื่องของผลประโยชน์ นี่มันพ่อค้า นี่มันไม่ใช่พระ มันไม่ใช่วัดหรอก มันเป็นพ่อค้า...คนที่เขาผ่านโลกมานะ คนผ่านโลกมาเขามีสติ เขามีปัญญา คนมีปัญญาน่ะเขามองรู้นะ ฉะนั้น คนที่มีสติมีปัญญา คนเหมือนกัน ปัญญามันศึกษาทันกันนะ

ฉะนั้น สิ่งที่ปัญญาโลกๆ ก็เรื่องของเขา แต่เราบวชมาเป็นพระ เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส ฉะนั้น ชีวิตของพระเราก็มีธรรมและวินัย มีข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ เราก็ต้องมีปัญญาของเราดูแลรักษา ถ้ามีปัญญาดูแลรักษานะ มันเป็นเรื่องที่เราอึดอัดขัดข้องไปหมด แต่ถ้ามันมีปัญญารักษา เราพอใจ เราเชื่อ เราภูมิใจในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วางวินัยไว้ วางประเพณีวัฒนธรรมเรื่องบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ตามธรรมตามหน้าที่ของแต่ละบุคคล เพื่อส่งเสริมให้พุทธศาสนานี้มั่นคง ถ้าพุทธศาสนานี้มั่นคงนะ บริษัท ๔ ต่างทำหน้าที่ของตัว หน้าที่ของตัวนะ ทุกคนทำหน้าที่ของตัวให้เข้มแข็ง ให้ตามความเป็นจริง ศาสนานี้จะมั่นคง

ฉะนั้น สิ่งที่เป็นโลกเราก็ดูแลรักษา เพราะเราเกิดมากับโลก เราอยู่กับโลก แต่เวลาเราจะปฏิบัติ เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราต้องดูแลรักษาใจของเรา ถ้าดูแลรักษาใจของเราแล้วนะ นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวแล้ว เรื่องส่วนตน ไม่มีใครรู้หรอกว่าจิตของเรานี้เป็นอย่างใด ไม่มีใครรู้ ถ้าจิตเราเสื่อม เราจะรู้ว่าเราทุกข์มากขนาดไหน เขาเห็นเราบวชเป็นพระ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เขาไม่รู้หรอกว่าหัวใจของเรามันทุกข์ร้อนขนาดไหนถ้าจิตใจมันเสื่อม

แต่ถ้าจิตใจของเรานะ เรารักษาใจของเรา ใจของเราสงบร่มเย็นขึ้นมา เขาเห็นเราเป็นพระ เขาว่าเราเป็นพระ เป็นพระพวกนี้บวชมาทำไม ทำไมบวชมาแล้วเขาไม่ทำงานกัน ทำไมเห็นอยู่กันเฉยๆ นี่เขาไม่รู้หรอกว่าเราดูแลรักษาใจของเราอย่างใด ถ้าดูแลรักษาใจของเรา เรามีเครื่องอยู่ เรามีข้อวัตรปฏิบัติของเรา เรามีคำบริกรรมของเรา เรามีสติ เรามีสมาธิของเรา

พอมีสมาธิของเรา เราฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา เราใช้ปัญญาของเราแยกแยะเพื่อหาผลประโยชน์ของเรา ถ้าปัญญามันเกิดขึ้น มันวิปัสสนาของมัน มันแยกแยะของมันในหัวใจของเรา ใครเขาจะรู้จักงานของเรา เห็นไหม ถ้างานของเรา ความดูแลรักษาของเรานะ พระนาคิตะเดินจงกรมอยู่ในป่า บริษัท ๔ เขาไปเที่ยวนักขัตฤกษ์ เขาร้องรำทำเพลงไป เขามีสุข มีความสุขสงบร่มเย็นของเขา

พระนาคิตะเดินจงกรมอยู่ มันมีความวิตกกังวลขึ้นมาว่า “เขามีความสุข สังคมเขามีความสุขความร่มเย็น เขามีไปดูนักขัตฤกษ์กัน เขามีความสุขร่มเย็น เราเป็นเศษคน เราเดินจงกรมอยู่นี่ เรามีความทุกข์ความยาก”

เทวดามายับยั้งกลางอากาศนะ “เธอต่างหาก เธอต่างหากเป็นยอดคน พวกนั้นเขาอยู่ในวัฏฏะ เขาเสพสังคมอยู่ เขาจะไปดูมหรสพสมโภช เขาอยู่ในวัฏฏะ เขาอยู่ในกรงเล็บของกิเลส ท่านต่างหาก ท่านต่างหาก”

เวลาจิตใจของเรามันเศร้าหมอง มันผ่องใส ใครจะรู้กับเราได้ เทวดา อินทร์ พรหม เขารู้ได้ เขารู้ได้เพราะอะไร เพราะเทวดา อินทร์ พรหม เขาอยู่ด้วยจิตล้วนๆ มนุษย์มีกายกับใจ ถ้าใจมันวิตกกังวล ใจมันทุกข์มันร้อนนี่เขารู้ แล้วครูบาอาจารย์ของเรา ผู้ที่มีอนาคตังสญาณนี่เขารู้ ถ้าเขารู้ขึ้นมา เขาแก้ไขน่ะ แต่โลกเขาไม่รู้กับเรา โลกไม่รู้หรอก

โลก ถ้าใครให้ผลประโยชน์ เขาว่าคนนั้นดี ถ้าเราส่งเสริม เรายกย่องเขา เขาบอกว่าพระนั้นดี ถ้าพระองค์ไหนบอกถึงใจดำของเขา ถึงกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเขา เขาบอกพระองค์นั้นไม่มีมารยาท พูดอะไรเข้าไปถึงหัวใจของเขา ไม่มีมารยาทสังคม...นี่โลกเขารู้กันอย่างนั้น

ฉะนั้น เราจะต้องมีสติปัญญาของเรา เราอย่าหลงไปกับโลก ถ้าเรามีปัญญาของเรานะ คมของปัญญาทางโลกมันก็ทำให้วัดเราสงบร่มเย็น จะปกครองดูแลสังคมเราให้สงบร่มเย็น ถ้าเกิดเป็นคมของวิปัสสนาญาณในหัวใจของเรา ปัญญาญาณในหัวใจมันจะชำระกิเลสที่ไม่มีสิ่งใดเข้าไปจับต้องแล้วชำระสิ่งนี้ได้ เว้นไว้แต่ปัญญาญาณในใจดวงนั้น

“จิตแก้จิต” เวลาเราเกิดขึ้นมา ปฏิสนธิจิตนี้สำคัญมาก ความเป็นมนุษย์เขาดูกันแต่ความเป็นมนุษย์ ความมีร่างกาย สถานภาพของมนุษย์ แต่นี้พุทธศาสนามองถึงเรื่องความรู้สึกนึกคิด นี่เริ่มต้นของความเป็นมนุษย์ เพราะปฏิสนธิจิตเกิดในไข่ เกิดในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ สิ่งกำเนิด ๔ กำเนิดขึ้นมาแล้วถึงผลของวัฏฏะ เริ่มต้นจากการกำเนิด เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด

ฉะนั้น เราเกิดมาแล้ว พบพุทธศาสนา เราพิจารณาของเรา เราใช้ปัญญาของเราให้เกิดมีปัญญาของเรา คมของปัญญามันจะเป็นประโยชน์กับเรา เพื่อชำระกิเลสกับเรา เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของเรา เอวัง